
การสนทนากับคนอาจจะเป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่ใครๆ ก็คงคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่สำหรับมนุษย์ Introvert อย่างเราแล้ว การพูดคุยหรือสร้างบทสนทนาช่างเป็นเรื่องที่โคตรยากสะเหลือเกิน จะเข้าสังคมทีต้องชาร์จพลังเป็นเต็มสูบ แล้วเปิดโหมด extrovert ให้ได้มากที่สุด เพื่อตามหาสิ่งใหม่ๆ บนโลกกว่า และมองหา connection

การสร้าง conversation ว่ายากแล้ว แต่การจะพูดยังไง เพื่อให้มีคนเข้าใจนี่สิยากกว่า เราเป็นหนึ่งคนที่พยายามทำความเข้าใจกับการสร้างบทสนทนาที่น่าสนใจ รวมไปถึงการตั้งคำถามที่เข้าประเด็น และคำถามนั้นสามารถที่จะพาบทสทนานั้นไปต่อได้อีกหลากหลายมิติ
โดยที่ไม่อยากทำให้บทสนทนานั้นดู awkward หรือทำให้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง จนไม่เป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา
หลังจาก search หาวิธีเกี่ยวกับเรื่องการสร้างบทสทนา หรือ การสร้าง good communication ก็ได้มาเจอกับนักจิตวิทยา ชาวอเมริกัน ชื่อ Dr. Thomas Smithyman ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับ self-improvement ผ่านมุมมองของจิตวิยา ที่ฟังไม่ยาก ย่อยง่าย
เลยอยากนำเทคนิคดีดี มา sharing ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันค่ะ
“เมื่อ Introvert อยากพูดจาให้รู้เรื่อง”
🧩Getting out off small talk
Small talk คือ หูฟัง เอ้ย ! ไม่ใช่ ~.~
Small talk คือ การพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ เช่น การถามสารทุกข์ สุกๆ ดิบๆ รวมไปถึงการเปิดบทสทนาที่สร้างบรรยากาศไม่ให้ตึงเครียดจนมาเกินไป เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับคนที่เรากำลังคุยด้วย แต่การที่เราอยู่ใน small talk conversation นานเกินไป อาจจะทำให้บทสนทนานั้นขาดความน่าตื่นเต้น หรือ น่าสนใจลดไปเรื่อยๆ อาจจะทำให้คู่สนทนาของเรารู้สึกเบื่อจดจบบทสนทนาไปในที่ จากที่อยากจะ go deeper กลับ go over ซะงั้น 😵

ฉะนั้นเมื่อบรรยากาศใน state ของ small talk เริ่มดูจะน่าเบื่อ ให้เราลอง trigger topic กระตุ้นให้หัวข้อบทสนทนาเหล่านั้นดูมีอะไรมาขึ้น ปรับให้บทสนทนา ดูมีสีสัน น่าสนใจ และสามารถที่จะ lead ไปสู่ประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆ ต่อไป
เช่น การตั้งคำถามแบบ Open- ended question
“(Open-ended question) คือ คำถามที่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบได้แสดงความคิดเห็น ประสบการณ์ และความรู้สึกอย่างอิสระ ไม่จำกัดคำตอบแค่ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” หรือคำตอบสั้นๆ แต่จะกระตุ้นให้ผู้ตอบอธิบาย ให้รายละเอียด”
เป็นการตั้งคำถามกระตุ้นให้คู่สนทนาของเรา รู้สึกว่าเรากำลังให้ความสนใจ และอยากเข้าถึงเรื่องๆ นั้นมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น “คุณมาทำสิ่งนี้ได้อย่างไร” , “แรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้คุณได้มาทำสิ่งนี้”
โดยที่เราจะ focus ไปที่ ทำไมคุณถึงอยากทำสิ่งๆนี้ มากกว่าวิธีการของมันคืออะไร
ตัวอย่างสถานการณ์
เริ่มต้นจาก small talk ด้วยคำถามงานๆ Basic สุดๆ
A : คุณทำงานอะไรอยู่เหรอ
B : ตอนนี้เราเปิดร้านทำขนมอยู่ที่จังหวัดตราดหน่ะ
-แทนที่เราจะแค่แบบ อ่อ…ดีจังเลย แล้วจนบทสนทนานั้นไปอย่างเงียบๆ 😥-
ลองเริ่มทำให้บทสนทนามันดูมีอะไรมากขึ้น โดยเริ่มจากคำถามน่าให้ความสนใจ การสอบถาม stories ของสิ่งที่คู่สนทนา กำลังทำมัน
A : โอ้วว คุณชอบทำขนมเหรอ, อะไรเป็นแรงบันดาบใจให้เป็นร้านขนมนอกเมืองหลวง
หรืออะไรที่ทำให้คุณมีความคิดอยากเริ่มธุรกิจเล็กๆ ละ
การสร้าง conversation ด้วยการใส่ใจเรื่องราวของคุ่สนทนา ยิงคำถามที่ทำให้เรื่องราวเหล่านั้นมันดูมี stories สามารถเหล่าต่อไปได้ วิธีนี้จะช่วยให้เรา ออกจาก area ของ small talk สู่ stage ของการ go deeper
แต่ แต่ แต่ ถ้ามันเริ่มไปลึกซะจนไม่มีมิติด้านอื่นให้มองเลย ให้ลองกลับมาที่ คำถามธรรมดาๆ เพื่อไม่ให้บทสนานั้นดูอึดอีกจนเกินไป
Asking better question and talk more like friends.
– Dr. Thomas-
🧩 Stop talking like a stranger
เวลาเราอยู่ในบทสนทนา เราจะรู้สึกได้ว่าบทสนทนาไหนที่ทำให้เรารู้สึก awkward โดยเฉพาะ เมื่อเราเจอกับคำถามแบบผิวเผิน ไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เราพูดมากนัก ซึ่งความรู้สึกมันจะแตกต่างจากการที่เราพูดคุยกับเพื่อนหรือกลุ่มคนที่เรารู้จักโดนสิ้นเชิง
เพราะการพูดกับคนที่เรารู้สึก หรือ สนิทสนม เราสามารถที่จะพูดเรื่อง sensitive รวมไปถึงการ make fun กันได้อย่างสนุกสนาน การพูดไปเรื่อย ไปเทื่อย ไหลไปแบบไม่มีอะมากั้น
(เหมือนที่ใครๆ ก็ชอบบอกว่า คนไทยพูดไปเรื่อยยยย😆 )
ฉะนั้น คนเรามักจะมี conversation ที่น่าสนและสนุกสนาน เมื่อเรารู้สึกว่าคนตรงที่คือเพื่อนของเรา และการเปลี่ยนจาก stranger มาเป็น friendship จึงเป็น step ที่สำคัญก่อนจะเดินหน้าต่อไปใน topic อื่นๆเลย
If you talk like a stranger, you will feel like a stranger. – Dr. Thomas-
🧩 The topic of topics
การทำให้บทสนทนานั้นดูสนุกและน่าสนใจมากขึ้นนั้น เราควรที่จะทำให้ topic ที่กำลังพูดคุยกับอยู่ ไปต่อไปได้ในมิติต่างๆ
“Allow thing to move around”
ความแตกต่างของการพูดวนอยู่ในพื้นที่เดิมๆ นั้นก็คือ สักแปบเราจะหมดเรื่องพูด หมดคำถามที่จะไปต่อแล้วบทสนทนานั้นก็จะเงียบไปในที่สุด ซึ่งที่ที่เราทำให้เรื่องที่พูดคุยอยู่ไปต่อได้จากการเชื่อมโยงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นจากประสบการณ์ที่เคยเจอมา เรื่องที่ได้ยินได้ฟัง มาแลกเปลี่ยนกัน มันจะทำให้วงสนทนาของเรามันสนุกมากขึ้น เมื่อทุกคนเริ่มแชร์เรื่องราวต่างๆ โลกใบใหม่ และมุมมองใหม่ๆ ของเราก็จะเปิดกว้างให้เราได้คิดตาม และสนุกไปกับมันได้เรื่อยๆ
Thinking of conversation like taking a joy ride. You want to take your conversation partner places that they enjoy. – Dr. Thomas-

🧩 The facial expression
ในระหว่าบทสทนาที่กำลังเป็นไปได้อย่างเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือการสังเกตุสีหน้า ท่าทางของคู่สนทนาของเราด้วยว่า เข้าเป็นยังไง ยัง enjoy กับเรื่องราวที่ยังพูดคุยกับอยู่หรือไม่ เรื่องที่เราคุยกับอยู่เขามองภาพ ภาพเดียวกับเราอยู่ หรือหน้าลอย blank ว่างปล่าวไปแล้ว 5555555 + 😆
ไม่ใช่แค่สีหน้าท่าทางอย่างเดียวนะ แต่ถ้าสังเกตไปถึง wording ที่ยังให้พูดคุยกันในวงสนทนาด้วย ว่ายังเป็นไปได้ด้วยดีมั้ย ถ้าเริ่มมีแบบ อืมมม เอ่อออ อ่อออ อือออ
แบบนี่ก็เริ่มไม่ดีแล้วจริงมะ 😅
แต่ ถ้าทุกอย่างยังเป็นไปได้ด้วยดีมีจังหวะ เราสามารถที่จะ dig deeper คือการเจาะประเด็นให้บทสนทนานั้น มีมิติมากขึ้น โดยเพิ่มความสงสัยใคร่รู้เข้าไปในบทสนทนานั้นๆ เพื่อให้เรื่องราวมีมุมมองที่กล่าวถึงเรื่องราวที่ได้พบเจอ ความคิดเห็นต่อเรื่องนั้นเรื่องนี้
ซึ่งมันจะทำให้เราเข้าใจคู่สนทนา รวมไปถึง personality ของคนนั้นๆ ได้ลึกเข้าไปอีก
🧩 Dig for stories
เมื่อบทสนทนามันสามารถเปิดทางให้เราเข้าถึง และทำความรู้จักไปยังตัวบุคคลมากขึ้น การได้รับฟังถึง storied หรือ experience เชิงลึกของคู่สนทนา จะทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ เพื่อมาปรับใช้ในชีวิตของเรามากขึ้นด้วย
เราเชื่อว่าการได้รับฟังเรื่องราวโดยตรงจากผู้มีประสบการณ์ โดยเฉพาะ คนที่มี passion จัดๆ กับ area ที่เราสนใจอยู่ มันจะทำให้เรา enjoy กับสิ่งที่ทำอยู่มากกว่าการงมหรือการศึกษาเองซะอีก
In therapy, being clearly connected while someone is speaking, it’s so vital. -Dr. Thomas-
🧩 Why stories are so connecting
“Information is unequal to stories”
การให้ข้อมูล กับการบอกเล่าเรื่องราวมี dynamic ที่แตกต่างกัน
เนื่องจากการเล่าเรื่องเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้สึก ให้คนฟังได้นึกภาพตาม หรือคล้อยตามไปกับสถานการณ์นั้นๆ การทำให้คนฟังเดินทางไปกับเรื่องราว สนุกไปกับมัน เปิดโอกาสให้เขาได้มีช่องว่าในการถาม หรือสงสัย เพื่อสร้างการเชื่อมต่อกันระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง
มันยิ่งทำให้บทสนทนาเหล่านั้นมีความหมาย เรื่องความสนุกของการสร้างบทสนทนาทำนองนี้จะทำให้เราได้ท่องย้อนเวลาไปยังอดีต และยาวต่อมาถึงการเดินทางไปยังอนาคต
ความสนุกและความน่าสนใจนี่แหละ มันจะทำให้เกิน connection ใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น
“แต่นอกจากจะเป็นผู้พูดที่น่าสนใจแล้ว การเป็นผู้ฟังที่ดี
ก็เป็นส่วนสำคัญของ conversation เช่นกัน”
🧩 How to do engaged listening
conversation มันต้องเกิดจากคนหนึ่งพูด คนหนึ่งฟังใช่มั้ยคะ
แล้วการฟังแบบไหนกันหล่ะ ที่คนพูดเขาถึงอยากจะเล่าเรื่องราวนั้นต่อให้กับเรา
“การฟังอย่างตั้งใจ” ฟังเพื่อให้เราเข้าใจถึงสิ่งที่ผู้กำลังสื่อสารกับเรา และจับประเด็นเพื่อนสร้าง บทสนทนาที่น่าสนใจต่อ
ลองสมมติสถานการณ์ดูว่า ถ้าเรากำลังเล่าเรื่องอะไรสักอย่างให้คนๆ หนึ่งฟัง แล้วเขาฟังเรื่องราวเหล่านั้นอย่างตั้งใจ แล้วพร้อมทำความเข้าใจไปกับมัน มันยิ่งทำให้เรารู้สึกดีแล้วอยากจะพูดสิ่งๆ ต่อ และพร้อมจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้พบเจอกับคนๆนั้น
แทนที่เราจะฟังเรื่องราวอย่างผ่านๆ ให้เราลองมี reaction กับเรื่องนั้นๆดู เพิ่มความสงสัย ตั้งคำถาม รวมไปถึงท่าทาง การมี eyes contact กับคนพูดอยู่ตลอดเวลา หรือมีการมี respond และสร้างแรง support ให้กัน
แค่นี้ conversation ที่ดูจะน่ากลัว ก็จะค่อยๆเรื่องสนุกขึ้น และดูไม่น่ากังวลมากขนาดนั้น
ซึ่งทักษะการเป็นผู้พูดและการเป็นผู้ฟังที่ดี เป็นเรื่องที่เราคิดว่าสามารถฝึกกันได้ การฟังโดยไม่ตัดสิน และการพูดอย่างสร้างสระะค์ การแชร์ประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ให้แก่คนที่ฟัง ถึงเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวสำหรับการสร้าง conversation ที่ดี
ส่วนเทคนิคการฝึกพูดของเราที่เราใช้อยู่ในทุกวันนี้ก็คือ การพูดหน้ากระจก ฟังเหมือนมันตลก แต่มันก็ตลกจริงๆนั่นแหละๆ 55555+ เอาเป็นว่ามันเวิร์คนะ มันทำให้เราไม่ตะกุกตะกักในการพูดเวลาต้องพูดขึ้นมาจริงๆ แล้วอีกอย่างการใช่วิธีนี้กับการฝึกษาอื่น พูดเลยว่าโคตรจะเริ่ด

เพื่อนๆ คนไหนที่มีวิธีการฝึกพูด หรือมีเทคนิคอะไรดีดี สามารถคอมเม้นแบ่งปันกันได้น้าาา
ขอให้ทุกคนสนุกกับการเดินทางนะคะ ❤
Leave a comment